พระรัตนตรัย

🌷 พระรัตนตรัย (แก้วมณีอันมีค่า ๓ ดวง)

ชาวพุทธทั้งหลาย ต่างยอมรับนับถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่งสูงสุดในพระพุทธศาสนา ดังมีบทสวดระลึกถึงว่า

พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ข้าพเจ้าถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ ข้าพเจ้าถือเอาพระธรรมเป็นที่พึ่ง
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ข้าพเจ้าถือเอาพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง

ดังนั้น จึงได้ตั้งสมัญญาถวาย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไว้ รวมเรียกว่า พระรัตนตรัย (แก้วมณีอันมีค่า ๓ ดวง)

🌻 พระรัตนตรัยตั้งอยู่ที่ไหน?

ถ้าไปถามคนที่นับถือพระพุทธศาสนาทั่วๆ ไปดูแล้ว เราจะเห็นว่าหลายคนตอบ ดังนี้ คือ
พระพุทธก็อยู่ในโบสถ์
พระธรรมก็อยู่ในตู้ และ
พระสงฆ์ก็นั่งสวดมนต์อยู่ในวัดต่างๆ ตรงกัน

กล่าวให้ชัดที่สุด
พระพุทธ ก็คือ พระพุทธรูป
พระธรรม ก็คือ ตัวอักษรที่จารึกธรรมะซึ่งเก็บอยู่ในตู้
และพระสงฆ์ ก็คือ ผู้ที่นุ่งเหลือง ห่มเหลืองที่บวชเข้ามาอยู่ในวัดนั่นเอง

รวมความแล้ว คนที่นับถือพระพุทธศาสนาส่วนมาก พากันเข้าใจว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นวัตถุและอยู่ภายนอกตัวเอง ไม่ได้อยู่ภายในตัวเองเลย

ถ้าเข้าใจว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นวัตถุและอยู่นอกตัวเองเช่นนี้แล้ว เราก็ย่อมถือเอาเป็นที่พึ่งไม่ได้จริงๆ คือ ได้แต่สวดระลึกลมๆ แล้งๆ ว่าเป็นที่พึ่งเท่านั้นเอง หรือกล่าวให้ชัดได้ว่าไม่รู้จัก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่แท้จริงก็ได้

🌻 เราจะถือเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งได้อย่างไร?

ถ้ารู้จัก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ถูกต้องจริงๆ แล้ว ขอรับรองได้โดยปราศจากความสงสัยว่า เป็นที่พึ่งอันสูงสุดได้อย่างแน่นอน คือ สิ้นทุกข์ หมดกังวลจากเรื่องราวต่างๆ ในโลกนี้อย่างสิ้นเชิง

มีพุทธพจน์ตรัสไว้ว่า

“โยจ พุทฺธญฺจ ธมฺมญฺจ สงฺฆญฺจ สรณํ คตา
จตฺตาริ อริยสจฺจานิ สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสติ แปลว่า

ผู้ใดจะถือเอา พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆเจ้า เป็นที่พึ่งได้นั้น
ผู้นั้นจะต้องเห็นอริยสัจ ๔ ด้วยปัญญาอันชอบ ดังนี้”

ทั้งนี้หมายความว่า ผู้นั้นจะต้องลงมือศึกษาและปฏิบัติตามอริยสัจ ๔ คือ ขัดเกลาจิตใจตนเองให้เลิกยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ต่างๆ ได้อย่างสิ้นเชิงนั่นเอง จิตของผู้นั้นก็ย่อมบริสุทธิ์ เช่นเดียวกับ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไปด้วยในที่สุด จึงสิ้นทุกข์ หมดกังวลจากเรื่องราวต่างๆ ตามพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันด้วย

จากที่ได้บรรยายมานี้ เราพอจะมองเห็นและรู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ได้ดีขึ้นว่า พระรัตนตรัยเป็นเรื่องของจิตบริสุทธิ์ ที่ไม่ยึดถือเอาวัตถุหรืออารมณ์ใดๆ ในโลกอย่างสิ้นเชิง จึงเป็นเรื่องของนามธรรม ไม่ใช่เรื่องของรูปธรรมที่อาจลูบคลำ ถูกต้อง หรือแลเห็นได้ ดังที่หลายคนเข้าใจกันอยู่ว่าอยู่ภายนอกตัวเอง ในปัจจุบันนี้

🌻 ผู้ที่มีจิตบริสุทธิ์แล้ว จึงจะนับว่าเป็นพระรัตนตรัย

พระพุทธเจ้า คือ ผู้ที่ปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ได้เองโดยไม่มีครูสอน จนจิตบริสุทธิ์สิ้นเชิง แล้วสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติตามด้วย เรียกว่า พุทธรัตนะ

พระสงฆเจ้า คือ ผู้ที่ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า จนจิตบริสุทธิ์อย่างสิ้นเชิงตามพระพุทธเจ้าไปด้วย เรียกว่า สังฆรัตนะ

พระธรรมเจ้า คือ จิตอันบริสุทธิ์อย่างสิ้นเชิงของทั้งพระพุทธเจ้าและพระสงฆเจ้า ซึ่งหลุดพ้นจากการครอบงำของกิเลสทั้งหลาย และเป็นแหล่งกำเนิดของคุณธรรมความดีทั้งปวง เหมือนกันทุกท่าน

ดังนั้นจึงจัดรวมเป็นผืนเดียวกัน เพราะไม่แตกต่างกันเลย และแยกออกจากกันไม่ได้

จิตบริสุทธิ์ ชั้นพระรัตนตรัย นี้ เป็น อมตธรรม ไม่มีการเกิดแก่เจ็บตายต่อไปอีก ซึ่งแตกต่างจากจิตของปุถุชนที่ยังต้องพลอยเกิดแก่เจ็บตายตามรูปร่างกาย หรืออารมณ์ไปด้วย ตลอดเวลาที่เวียนว่ายอยู่ในสังสารจักรนี้

ดังนั้น เราจึงเห็นได้ชัดเจนว่า พระธรรม ก็คือ จิตของพระพุทธเจ้าและพระสงฆเจ้า หรืออีกนัยหนึ่งคือ ทั้งพระพุทธเจ้าและพระสงฆเจ้านั้น ต่างก็มีจิตเป็นพระธรรมเจ้า ที่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนกัน รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นผืนเดียวกัน และแยกออกจากกันไม่ได้ นั่นเอง

เมื่อพระรัตนตรัยเป็นเรื่องของจิตบริสุทธิ์ซึ่งเป็นนามธรรมเช่นนี้แล้ว หลายคนที่ศึกษาธรรมะอาจสงสัยขึ้นมาว่า ผู้ที่บวชและนุ่งห่มผ้าเหลืองที่ปฏิบัติแต่เพียงศาสนพิธี และผู้ที่บวชแล้วศึกษาตำราธรรมะมามากมาย แต่ไม่ได้ปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ เพื่อชำระขัดเกลาจิตใจตนเองให้บริสุทธิ์ หลุดพ้นจากกิเลสทั้งหลายเลยนั้น จะนับว่าเป็นพระสังฆรัตนะได้หรือไม่?

ตามธรรมดา ผู้ที่ปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ แล้ว ทุกท่านจะมีสติที่ตื่นอยู่เสมอ เมื่อมีอารมณ์อย่างใดเข้ามากระทบจิต ก็ย่อมสลัดความยึดถืออารมณ์นั้นๆ ออกไปได้ ทำให้จิตใจพ้นจากการครอบงำของอารมณ์เมื่อนั้นเสมอไป ตามกำลังของสติที่ปฏิบัติได้ จนสามารถสลัดอารมณ์ได้อย่างคล่องแคล่วในที่สุด

เพราะฉะนั้น จึงสามารถพิจารณาเห็นได้ด้วยตนเองว่า ผู้ที่บวชเข้ามาแล้วโดยมิได้ลงมือปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘เลยนั้น ย่อมรู้ตัวเองว่า จิตใจของตนไม่มีขีดความสามารถในการสลัดอารมณ์ต่างๆ ออกไป เหมือนกับเมื่อก่อนบวช กล่าวคือ ยังมีความโลภ ความโกรธ ความหลง ครอบงำอยู่ ไม่แตกต่างจากเดิมแต่ประการใด สภาพจิตใจไม่ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นจากเดิม คือเมื่อก่อนบวชเลย

ดังนั้นจึงไม่นับว่าเป็นสังฆรัตนะในพุทธศาสนา เป็นแต่เพียงสมมุติสงฆ์เท่านั้น ต่อเมื่อใดสมมุติสงฆ์ลงมือปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ จนมีสติตื่นอยู่อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายแล้ว จึงจะนับว่าเป็นพระสังฆรัตนะได้เมื่อนั้น

ด้วยเหตุนี้ เราจึงสามารถใช้เป็นหลักสำหรับดูพระสงฆ์ว่าได้ลงมือปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน อย่างที่ได้รับปากกับพระอุปัชฌาย์ในวันแรกบวชหรือไม่? ก็คือ ให้กระทบอารมณ์ดู ถ้าหากกระทบหลายๆ ครั้งแล้ว จิตใจยังมั่นคงไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ ก็รู้ได้ทันทีว่าท่านผู้นี้ได้ผ่านการปฏิบัติธรรมดังกล่าวมาแล้ว อย่างดียิ่งด้วย