ฐานที่ตั้งสติ

🌷 ฐานที่ตั้งสติ

ตามที่ได้กล่าวมาแล้วในเบื้องต้น การปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ คือ การสร้างสติของผู้ปฏิบัติให้ตั้งอยู่อย่างมั่นคง ในเมื่อมีอารมณ์มากระทบจิต โดยการยกจิตให้เข้าไปตั้งอยู่ ณ ฐาน ๔ แห่ง แห่งใดแห่งหนึ่งบ่อยๆ เนืองๆ คือ ที่ฐานกาย เวทนา จิต หรือธรรม ซึ่งทำให้จิตสามารถตัดอารมณ์และอาการของจิตที่เนื่องด้วยอารมณ์ได้

ในทางปฏิบัติ การยกจิตเข้าไปไว้ที่ฐานที่ตั้งสตินี้ ก็คือ การเปลี่ยนความสนใจจากอารมณ์ที่กำลังเข้ามากระทบเฉพาะหน้า ให้เข้าไประลึกรู้ชัดอยู่ที่ฐานที่ตั้งสติแทนเสีย

ถ้ายกจิตเข้าไปตั้งที่ฐานที่ตั้งสติและประคองไว้ด้วยอุบายอันแยบคายได้สำเร็จ สัมมาสติ สัมมาวายามะ สัมมาสมาธิ ย่อมเกิดขึ้น และทำให้ความยินดียินร้ายกระสับกระส่ายดับไปจากจิต

แต่ถ้ายกจิตเข้าไปตั้งไว้แล้วไม่มีความเพียรประคองให้ตั้งอยู่ที่ฐานดังกล่าว ต่อเนื่องต่อไป (คือปล่อยให้แลบหนีออกไปอยู่ที่อารมณ์ใดๆ เสีย) สัมมาสติย่อมดับ ซึ่งจะทำให้ความยินดี ยินร้าย กระสับกระส่ายเกิดขึ้นที่จิตได้เป็นธรรมดา

ดังนั้น ฐานที่ตั้งสติ จึงเป็นองค์ธรรมสำคัญที่ผู้ปฏิบัติจะต้องอุปโลกน์ขึ้นไว้ในใจก่อน เพื่อใช้เป็นฐานรองรับจิตที่แยกตัวออกจากอารมณ์ทั้งหลาย ก่อนลงมือปฏิบัติธรรม ไม่ว่าหมวดกาย เวทนา จิต หรือธรรม หมวดใดหมวดหนึ่งในสติปัฏฐาน ๔ ก็ตาม

ผู้ปฏิบัติจะต้องอุปโลกน์ฐานที่ตั้งสติ ให้อยู่ในตำแหน่งที่สามารถยกจิตเข้าไปได้โดยสะดวก แล้วจดจำไว้ในใจให้แม่นยำ พร้อมที่จะยกจิตเข้าไปตั้งได้อย่างมั่นคงและแข็งแรงทุกขณะ เพื่อที่จะใช้เป็นฐานที่ตั้งสติได้ตลอดชีวิตอีกด้วย

เมื่ออุปโลกน์ฐานที่ตั้งสติขึ้นแล้ว ผู้ปฏิบัติก็ย่อมมีหลักในใจว่า ถ้ามีอารมณ์ใดๆ เข้ามากระทบ ก็ให้รีบยกจิตเข้าไปตั้งไว้ที่ฐานที่ตั้งสติทันที ก่อนที่จะปรุงแต่งให้เกิดความยินดียินร้ายขึ้นมา (คือ รู้เรื่องแล้วรีบละทิ้งเรื่องที่รู้เสียได้)

ผู้ปฏิบัติจะต้องฝึกยกจิตเข้าไปตั้งที่ฐานที่ตั้งสติอย่างคล่องแคล่ว พร้อมกับเพียรประคองไว้ด้วยอุบายอันแยบคาย ทุกครั้งที่มีอารมณ์เข้ามากระทบ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่อารมณ์เริ่มกระทบ) สภาพเช่นนี้เรียกว่า สติปัฏฐานเกิดขึ้นแล้ว ความยินดียินร้าย กระสับกระส่ายก็ย่อมไม่ปรากฏขึ้นที่จิต

ถ้าตั้งเจตนาประคองสติให้ตั้งอยู่อย่างต่อเนื่องได้ ก็เรียกว่า เป็นผู้มีสติตื่นอยู่เป็นนิตย์ (ชาคโร) ซึ่งเป็นเป้าหมายของการปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔

เมื่อมีสติตื่นอยู่เป็นนิตย์แล้ว ผู้ปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ จึงไม่มีทางที่จะกลายเป็นคนบ้าไปได้เลย นอกจากจะทิ้งฐานที่ตั้งสติออกไปอยู่กับอารมณ์ เช่น อยากดูหวยว่าออกอะไร หรืออยากมีฤทธิ์ เป็นต้น ซึ่งทำให้เกิดความยินดียินร้าย เกิดกิเลสตัณหาขึ้น แล้วกลายเป็นบ้าไปเท่านั้น

🌻 ฐานที่ตั้งสติของโบราณาจารย์

เนื่องจากสติปัฏฐานสูตรได้กำหนดฐานที่ตั้งสติไว้กว้างๆ ๔ แห่ง คือ ที่ฐานกาย เวทนา จิต และธรรมเท่านั้น ดังนั้น ในด้านปฏิบัติจริงนั้น โบราณาจารย์ต่างๆ หลายท่านจึงได้กำหนดฐานที่ตั้งสติขึ้น (เพื่อยกจิตเข้าไปตั้งไว้เมื่อมีอารมณ์เข้ามากระทบ) ตามความเชื่อของท่านว่าดีที่สุด สำหรับทำให้จิตสงบตั้งมั่น ดังต่อไปนี้คือ

๑. ฐานที่ใต้สะดือ ๒ นิ้ว
๒. ฐานที่เหนือสะดือ ๓ นิ้ว
๓. ฐานที่ก้อนเนื้อหัวใจ
๔. ฐานที่สุดของลำคอ
๕. ฐานที่ท้ายทอย
๖. ฐานบนกระหม่อม
๗. ฐานระหว่างคิ้วทั้งสอง
๘. ฐานระหว่างนัยน์ตาทั้ง ๒ ข้าง
๙. ฐานที่ปลายจมูก
๑๐. ฐานในโพรงจมูก

จากรายละเอียดของฐานที่ตั้งสติซึ่งโบราณาจารย์ได้ใช้ปฏิบัติแตกต่างกันไปเหล่านี้ ผู้ที่ศึกษาวิธีปฏิบัติธรรม ควรจะได้พิจารณาแล้วเลือกฐานดังกล่าวให้เหมาะและสะดวก เพื่อใช้เป็นนิมิตหมายทางใจเพียง ๑ ฐานเท่านั้น

🌻 วิธีอุปโลกน์ฐานที่ตั้งสติ

สำหรับการปฏิบัติอานาปานสติ พิจารณาลมหายใจเข้าออก ผู้ที่เริ่มปฏิบัติใหม่ๆ ควรอุปโลกน์ฐานที่ตั้งสติขึ้นที่จุดลมหายใจกระทบตรงบริเวณช่องจมูก เพียงจุดเล็กๆ จุดเดียวให้แน่นอน คงที่ ที่ผู้ปฏิบัติจะสามารถดูได้อย่างชัดเจนตลอดเวลา ทุกขณะที่ลมหายใจเคลื่อนผ่านเข้าออกที่จุดนี้เท่านั้น

เมื่อเลือกฐานที่ตั้งสติได้เป็นที่พอใจแล้ว ก็ให้จำและรักษาไว้ในใจให้มั่นคง อย่าพยายามเคลื่อนย้ายหรือเปลี่ยนฐานนี้บ่อยๆ หรือปล่อยให้เคลื่อนเข้าออกตามลมหายใจไปด้วยเป็นอันขาด เพราะจะทำให้จิตเคลื่อนไหวและไม่เป็นสมาธิไปในที่สุด

การเปลี่ยนฐานที่ตั้งสติบ่อยๆ จะทำให้เกิดความลังเลใจในการยกจิตเข้าไปตั้งไว้ และกั้นจิตไม่ให้ทำงานคล่องแคล่วเสียเองก็ได้

ผู้ปฏิบัติต้องหมั่นฝึกยกจิตเข้าไปตั้งที่ฐานที่ตั้งสติที่อุปโลกน์ขึ้น และเพียรประคองไว้อย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้จิตแลบหนีออกไปหาอารมณ์ใดๆ ได้อีก โดยจะต้องฝึกปฏิบัติบ่อยๆ เนืองๆ จนชำนาญในที่สุด

จิตที่ได้ยกเข้าไปตั้งไว้ที่ฐานที่ตั้งสติ และประคองไว้ได้สำเร็จ จะทำหน้าที่เป็น “สัมมาสติ” ในมรรคมีองค์ ๘ เรียกว่า “สติเกิดขึ้น” แต่ถ้าจิตแลบหนีออกไปเพราะประคองไว้ไม่ได้ ก็เรียกว่า “สติดับไป”

ดังนั้น การเกิดขึ้นของสติก็ดี การดับไปของสติก็ดี จิตยังเคลื่อนไหวเข้าไปสู่ฐานที่ตั้งสติ และเคลื่อนไหวแลบหนีออกไปจากฐานที่ตั้งสติ ตามลำดับ

ดังนั้น สติจึงจัดว่าเป็นสังขารธรรมอยู่ในระยะแรกๆ แต่ถ้าฝึกปฏิบัติจนชำนาญและรักษาไว้ที่ฐานที่ตั้งสติอย่างมั่นคงต่อเนื่องทุกขณะแล้ว ก็ย่อมบรรลุอรหัตตผลในที่สุด ความยินดียินร้ายย่อมไม่เกิดขึ้นในจิตของพระอรหันต์เลย จิตไม่เคลื่อนไหวอีกต่อไป

เป็นที่น่าสังเกตว่า ถึงแม้สติจะเป็นสังขารธรรมก็ตาม แต่ก็จัดว่าเป็นมรรค ที่สำคัญในมรรคมีองค์ ๘ ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงกำหนดให้ผู้ปฏิบัติ “ทำให้เกิดขึ้น”(ภาเวตัพพะ) “ไม่ใช่เกิดขึ้นเอง” เพื่อไปสู่ความดับทุกข์

ดังนั้น ผู้ปฏิบัติจะต้องฝึกฝนบังคับให้มีให้เป็นให้เกิดขึ้นให้ได้ จะถือเสียว่าสติเป็นสังขารธรรม แล้วบังคับบัญชาไม่ได้เลยนั้น ย่อมไม่ถูกต้องแน่นอน

ที่ว่าสังขารธรรมนั้นไม่อาจบังคับบัญชาให้เป็นไปอย่างใจหวังนั้น ก็เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับความเก่าแก่คร่ำคร่าฝืนคติธรรมดาเท่านั้น แต่ในส่วนที่เกี่ยวกับการใช้สอยให้ทำงานอย่างถูกต้องนั้น สังขารย่อมต้องควบคุมบังคับบัญชาได้อย่างไม่มีปัญหา ดังเช่น “สติ” นี้เป็นต้น ซึ่งผู้ปฏิบัติจะต้องคอยระมัดระวังควบคุมบังคับบัญชา ไม่ให้แลบหนีออกจากฐานอยู่ตลอดเวลา จึงจะบรรลุมรรคผลได้ในที่สุด